ชื่อย่อหุ้น : ASK
ราคาล่าสุด : 11.10 บาท
เปลี่ยนแปลง :  - -%
ปริมาณซื้อขาย (หุ้น) :      554,023
วันก่อนหน้า
11.10
ราคาเปิด
11.10
ช่วงราคาใน 52 สัปดาห์
9.60
ช่วงราคาใน 52 สัปดาห์
21.20
ปรับปรุงเมื่อ: 04 ธันวาคม 2567 16:39
Refresh for Real-time Quote
    News

ASK เข้าสู่วัฏจักรเติบโตรอบใหม่ โบรกเคาะพื้นฐาน 44.70 บาท

Backพฤษภาคม 10, 2564

ทันหุ้น - บล.กสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์หุ้น บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ASK แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายกลางปี 2565 ที่ 44.70 บาท โดยมีภาพรวมการเติบโตที่สดใสและมูลค่าหุ้นที่ไม่แพงหนุนคำแนะนำของฝ่ายวิจัย ทั้งนี้ ASK ได้เข้าสู่วัฏจักรการเติบโตรอบใหม่ โดยคาดว่ากำไรจะมี CAGR ที่ 23.1% ในช่วงปี 2564-66 หลักๆ มาจากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่อเชิงรุกของบริษัท ฝ่ายวิจัยคาดถึงการปรับเพิ่มขึ้นของ ROE ในเชิง YoY จากกลยุทธ์ของ ASK ในการพัฒนารายได้ non-NII จากธุรกิจประกันและสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง คาดกำไรเติบโตแข็งแกร่ง โดยจะรายงานกำไรปี 2564/65/66 ที่ 1.17 พันลบ./1.45 พันลบ./1.65 พันลบ. ตามลำดับ ซึ่งจะคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 23.1% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของการเติบโตด้านกำไรของบริษัทฯ ที่ 5.4% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

โดยมองว่ามีแรงหนุนมาจาก 1) การเติบโตของสินเชื่อเชิงรุก จากการที่ฝ่ายวิจัยเล็งเห็นถึงอัตราการเติบโตของสินเชื่อระดับ 24.4%/21.6% ในปี 2564/65 จากอุปสงค์ที่สะสมจากช่วงก่อน (pent-up demand) สำหรับกลุ่มรถบรรทุก 2) อัตราผลตอบแทนสินเชื่อ (loan yield) ที่ปรับดีขึ้น จากการที่ ASK หันไปเน้นกลุ่มสินเชื่อที่มี loan yield สูงขึ้น 3) CAGR สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมในช่วงปี 2564-66 ที่ 22.0% ด้วยแรงหนุนจากธุรกิจนายหน้าประกัน และ 4) อัตราส่วนหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL ratio) ที่คาดจะลดลง 30bps ในปี 2564 จากการบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ฟื้นตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้น มองว่าการเติบโตของยอดขายรถบรรทุกในประเทศที่ 19% YTD เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปสงค์สาหรับกลุ่มรถบรรทุกยังแข็งแกร่งอยู่ และช่วยหนุนกลยุทธ์การเติบโตด้านสินเชื่อเชิงรุกของ ASK อีกแรง นอกจากนี้ ด้วยดัชนีเศรษฐกิจหลักๆ ที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เช่น ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง (CMI) และรายได้ภาคเกษตร จึงคาดว่ากลุ่มการก่อสร้างและเกษตรจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยคาด ASK จะได้ประโยชน์จากภาพดังกล่าว เพราะสัดส่วนมากกว่า 50% ของพอร์ตสินเชื่อของบริษัทฯ คือกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น เชื่อว่าการเพิ่มทุนจำนวน 3.0 พันลบ. ในเดือน พ.ค.2564 เป็นการดำเนินการที่ถูกช่วงจังหวะเพราะจะช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินต่อเงินทุน (DEratio) ปรับลดลงเหลือ 4.6 เท่าจาก 6.7 เท่า และจะช่วยให้ ASK สามารถก่อหนี้เพื่อขยายพอร์ตสินเชื่อส่วนเพิ่มได้ถึง 2.8 หมื่นลบ.

ปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อเพิ่มมูลค่า แม้ ASK จะยังคงเน้นกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์เป็นหลัก แต่ฝ่ายวิจัยเล็งเห็นแนวโน้มการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจออกจากวิถีเดิมๆ เพื่อเติมเต็มธุรกิจหลักให้ดีขึ้น เห็นได้จากการเน้นกลุ่มสินเชื่อที่มี yield สูงขึ้น และกลุ่มรายได้ค่าธรรมเนียมมากขึ้นดังที่กล่าวไปข้างต้น ตัวอย่างเช่น ASK ได้เริ่มขยายระยะเวลาการใหสิ้นเชื่อ (credit term) กับลูกค้าที่มีเครดิตดีนานขึ้น และมอบทางเลือกในการแปลงสัญญาไปเป็นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ให้กับลูกค้า โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบด้านเครดิตซ้ำซ้อน ทำให้ได้มาซึ่ง yield ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ASK ได้ก่อตั้งธุรกิจนายหน้าประกันในปี 2560 เพื่อให้บริการแบบครบวงจรกับลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งคาดว่าสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมจะเพิ่มเป็น 11.6%/11.5%/11.5% ต่อรายได้การดำเนินงานทั้งหมดในปี 2564-66 ตามลำดับ

คาดกำไรแตะจุดสูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 1/2564 โดยคาดว่า ASK จะรายงานกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1/2564 ที่ 251 ลบ. โตขึ้น 25% YoY/14% QoQ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกที่สาคัญต่อราคาหุ้นในระยะสั้น ประมาณการกำไรของเราอิงจาก 1) การเติบโของสินเชื่อที่ 11% YoY/6% QoQ 2) loan yield ที่เติบโตขึ้น 0.02 ppt YoY/0.08 ppt QoQ เป็น 7.55% และ 3) ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) ที่ลดลง 0.4 ppt YoY/0.3 ppt QoQ เป็น 1.25% ทั้งนี้ แม้จะคาดว่าต้นทุนดอกเบยี้ (cost of funds) จะปรับเพิ่มขึ้น 0.14 ppt YoY/0.03 ppt QoQ เป็น 2.6% แล้วก็ตาม

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย แนะนำ“ซื้อ”ประเมินราคาเป้าหมายกลางปี 2565 ที่ 44.70 บาท ราคาเป้าหมายอิง PBV ที่ 2.4 เท่าคานวณด้วยวิธี GGM ขณะที่ราคาหุ้นล่าสุดปรับเพิ่มขึ้น ไป 71% จากเดือนก่อน แต่ ASK ก็ยังซื้อขายในเชิง PER และ PBV ปี 2564 ที่ 14.7 เท่าและ 1.9 เท่า ซึ่งถูกกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 22.8 เท่าและ 3.4 เท่า ตามลำดับ นอกจากนี้ก็มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (DY) ที่มากกว่า 5% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งมองว่าเป็ นปัจจัยที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนระยะยาว

ที่มา: thunhoon